พิธา ทัวร์ลงฉ่ำ หลังประกาศช่วยเหลือคนไทย ชาวเน็ตแห่แชร์คลิป บิ๊กตู่ พูดถึงกองทัพไทย ส่วนพิธา เคยตั้งคำถาม ทหารมีไว้ทำไม

เรียกได้ว่ากลายเป็นกระแสดราม่าเดือด หลัง คุณ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้ออกมาโพสต์ให้ความช่วยเหลือญาติที่ติดต่อแรงงานในประเทศอิสราเอลไม่ได้ โดยจะช่วยเป็นตัวกลางกับสถานฑูตให้ และให้ส่งอีเมลมาที่เมลของคุณพิธาเอง และต่อมาหลังจากโพสต์ดังกล่าวก็ถูกระแสสังคมแบ่งออกเป็นสองฝั่ง มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการการกระทำดังกล่าว โดยฝ่ายที่เห็นด้วยก็บอกว่า

-คุณพิธา ต้องการที่จะช่วยเพราะทางด้านของญาติไม่สามารถติดต่อสถานฑูตได้ ณ เวลานั้นไม่มีที่พึ่งแล้วจึงต้องไปพึ่งพาก้าวไกล

และมีชาวเน็ตบางคนออกมาบอกว่า

-มีญาติทำงานอยู่ที่นั่นติดต่อไม่ได้ มีอะไรช่วยกันได้ก็ช่วยกันไปก่อน และทางด้านผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งก็ได้ออกมาบอกอีกว่า คุณพิธาเขาก็ช่วยอีกทางนึงเพราะมีคนเข้าไปขอความช่วยเหลือ จะให้ตอบว่าติดต่อไปที่สถานทูตเถอะครับผมไม่มีหน้าที่งี้เหรอ

-ญาติแรงงานเขาก็ร้อนใจพยายามหาทุกทางเพื่อญาติเขาได้รับความช่วยเหลือโดยไวความร้อนใจก็ต้องส่งไปขอความช่วยเหลือหลายๆทางสิใครมันไปนั่งรอรัฐอย่างเดียว คนติก็ไร้สาระเกิน

-ช่องทาง text แบบอีเมล์ มันไม่ต้องรอสาย แปลกใจว่าทำไม กต.ไม่เปิด อีเมล์

-เมื่อคืนใน Live ของคุณกรุณา คนไทยในอิสราเอลยังบอกเอง ว่าติดต่อสถานทูตทุกช่องทางแล้ว แต่ติดต่อไม่ได้ จนต้องขอความช่วยเหลือในรายการ จบไลฟ์คุณกรุณาก็เป็นคนรวบรวมข้อมูล ประสานงานต่อ อะไรที่พอช่วยได้ก็ช่วยกันถูกแล้วไหม วางอคติเอาไว้ก่อน นี่ความเป็นความตา-ย

และมีผู้ใช้ทวิตเตอร์อีกรายหนึ่งได้ออกมาโพสต์วา

-ที่สำคัญคือพิธาออกมาทวิตตอน 21:12 น. กต เพิ่งมาโพสเบอร์ติดต่อตอน 21:55 อิ๊งทวิตขายเสื้อผ้า นายกเพิ่งมาตอน 22:13 คิดว่าใครใส่ใจกับอะไรแบบนี้กว่ากัน เอาจริงต้องชื่นชม #พิธา เค้านะออกมา 21:12…

อย่างไรก็ตามทางด้านที่ไม่เห็นด้วยกับโพสต์ดังกล่าวของคุณพิธา ก็ได้ออกมาบอกว่า

-ให้เมล์ตัวเองถ้าเกิดข้อมูลตกหล่นไป ใครรับผิดชอบพฤติกรรมของเขาจึงต้องถูกประณาม ให้คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงทำงานเถอะ

รวมถึงมีนักวิชาการ อย่าง นายภัทร เหมสุข นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความระบุว่า ผมไม่ทราบว่าคุณพิธากำลังคิดและทำอะไรอยู่ ผมคาดว่าท่านทูตรับสายก็เพราะมารยาทเท่านั้น เพราะคุณพิธาไม่ได้มีอำนาจและหน้าที่อะไรเลยในหน่วยงานของรัฐที่จะสั่งการ หรือประสานงานในเรื่องนี้ แม้แต่อำนาจสั่งการที่ชอบด้วยกฎหมายในพรรคตัวเองก็ยังไม่มีเลย เพราะเป็นเพียงอดีตหัวหน้าพรรคเท่านั่น ปล่อยให้คนของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐเป็นคนทำดีกว่าไหมครับ แรงงานในต่างประเทศและญาติในประเทศไทยจะได้ไม่สับสนด้วย ทุกคนที่นั่นเปิดหน้าจอสมาร์ทโฟนของตัวเองติดต่อสถานทูตไทยที่เดียวจบ เพราะรัฐบาลก็ออกมาประกาศแล้วว่าคนที่มีหน้าที่ประสานงานตรงคือ รมต.ต่างประเทศ รมต.แรงงาน และสถานทูตไทยของที่นั่น

ต่อมาทางด้านแขก คำ ผกา ก็ได้รีทวิต ของ นายพิธา ระบุว่า จะอีเมลหาพิธาทำไมคะ? ติดตามข่าวสารที่ @thaigov1 เลยค่ะ มีเบอร์ให้โทรฯ ติดต่อสถานทูตโดยตรง ติดต่อได้ 24 ชม. อย่างไรก็ตามขอบคุณนะคะ

ต่อมา นายชินภัสร์ กิจเลิศสิริวัฒนา อดีตผู้สมัคร สส.เชียงใหม่ พรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์ภาพส่งอีเมล์หานายพิธา พร้อมระบุแคปชันว่า "ผม e mail คุณพิธาแล้วครับ!" โดยเนื้อหาในอีเมล์ มีดังนี้ Dear Pita ถึงพิธา เราก็วัยเดียวกัน เพราะฉะนั้นผมจะพูดอย่างไม่อ้อมค้อม การที่คุณติดต่อทูต Israel และจะช่วยประสานงาน มันไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น กลับทำให้คนไทยที่ Israel สับสน . คุณไม่ใช่ทั้งนายกฯ หัวหน้าพรรค และ สส. มันไม่ใช่หน้าที่ของคุณ และเวลานี้ไม่เหมาะสมที่จะหาเสียง ปล่อยให้รัฐบาล (ที่มีอำนาจรัฐและกฎหมายในมือ) ทำหน้าที่ของพวกเขา ส่วนคุณก็ใช้เวลาขายฝันให้กับเยาวชนต่อไปจนกว่าพวกเขาจะตื่น In summary, let the government do THEIR job!

ทำให้กระแสดราม่าดังกล่าว ทำให้ ชาวเน็ตแห่แชร์คลิป “บิ๊กตู่” พูดถึงกองทัพไทย ขณะที่ “พิธา” เคยตั้งคำถามว่า ทหารมีไว้ทำไม โดยมีการขุดคลิปช่วงการหาเสียงของคุณพิธา ได้พูดเอาไว้ว่า

สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 18 มีนาคม 2566 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ขึ้นเวทีปราศรัยที่จังหวัดกาญจนบุรี ตอนหนึ่งเปิดเผยว่า ตั้งแต่เดินทางมาถึงจังหวัดกาญจนบุรี ทำให้ตนนึกถึงโจทย์ความท้าทายทางการทหาร พร้อมยกตัวอย่างวันที่ 25 เมษายน ของทุกปีเป็นวัน Anzac Day ของประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เป็นความทรงจำแรกต่อกาญจนบุรีของตน ซึ่งเป็นวันแสดงความรำลึกถึงผู้ที่สูญเสียในสงคราม โดยเฉพาะสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นจุดที่ทำให้คิดถึงความท้าทายในยุคสมัยนั้น เป็นความท้าทายทางทหารในอดีต แต่หลังจากสงครามสิ้นสุดลง ความท้าทายทางทหารแบบเดิมก็เปลี่ยนไป กลายเป็นความท้าทายทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ความท้าทายจากสังคมสูงวัยและทางดิจิทัลแทน แม้ว่าทุกวันนี้ความท้าทายและความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ยังมีอยู่ แต่ไม่มีใครเอาทหารไปรบกันตรงๆ เป็นหลักอีกแล้ว ดังนั้นตนจึงอยากตั้งคำถามถึงปัจจุบันว่า ทหารมีไว้ทำไม คำตอบคือ ทหารมีไว้ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ วันนี้ตนจึงชวนมาทำลายทุนทหารที่กาญจนบุรีด้วยกัน @ผุดนโยบาย ‘ทลายทุนทหาร’

นายพิธากล่าวกลางเวทีปราศรัยว่า พื้นที่ที่เป็นที่ดินของกองทัพมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ คือที่ดินในจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมยกตัวอย่างโรงสูบน้ำเพื่อประชาชน ที่ตำบลท่าเก่า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ที่ใช้งบประมาณ 33 ล้านบาท แต่ไม่สามารถสูบน้ำได้สักหยด เนื่องจากอยู่บนที่ดินทหาร พี่น้องที่แก่งเสี้ยนอยากจัดการขยะก็จัดการไม่ได้เพราะอยู่ในพื้นที่ทหาร พร้อมย้ำอีกว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของทหารจำเป็นต้องใช้ที่ดิน โดยที่ดินราชพัสดุมีทั้งหมด 12 ล้านไร่ ครึ่งหนึ่งของที่ราชพัสดุเป็นที่ดินของกองทัพ คิดเป็นขนาดง่ายๆ คือ มี 5 กรุงเทพรวมกัน ยังไม่มากเท่าที่ดินทหาร เมื่อมีที่ดินกองทัพก็นำมาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด โยนคำถามต่ออีกว่า ทหารทำธุรกิจ

แต่งบประมาณในการทำธุรกิจของกองทัพ ทำไมไม่เคยเข้าหลวงเลย แต่กลับเก็บเงินเข้าขุมทรัพย์สีเขียว พร้อมตั้งคำถามว่านี่คือหน้าที่ของทหารไทยหรือไม่ โดยนายพิธาเชื่อว่า ตนขึ้นมาพูดนโยบาย 'ททท.' เพื่อชาวกาญจนบุรี นั้นต่างจากพรรคการเมืองที่ผ่านมา เพราะ ททท. ของตน ไม่ใช่นโยบายการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย แต่คือ 'ทลายทุนทหาร' “ทหารมีไว้เพื่อทำสนามกอล์ฟ สนามมวย สนามม้า ปั๊มน้ำมัน บาร์ลับ ร้านกาแฟ โรงแรมหกดาว ทำบ้านสวัสดิการโกงกินจนเกิดเหตุกราดยิงที่โคราช นี่คือหน้าที่ทหารหรือ?” นายพิธาตั้งคำถาม ช่วงท้าย นายพิธากล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จึงสำคัญในการตัดวงจรอุบาทว์ เอาทหารออกจากการเมือง ให้เหมือนแยกน้ำออกจากน้ำมัน ไม่ให้มีวันบรรจบกันอีก การแก้แบบก้าวไกลคือการแก้ไขปัญหาทั้งหมด ทำแบบที่นักการเมืองเขาไม่ทำหรือไม่กล้าที่จะทำกัน โดยหัวหน้าพรรคเสนอการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมประกอบด้วย

1.แจกใบแดงให้นายทหาร ภายใน 7 ปีหลังเกษียณไม่สามารถเข้าสู่การเมืองได้

2.ระบบเสนาธิการร่วม ผู้นำกองทัพอยู่ใต้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน

3.ยกเลิกศาลทหาร

4.ยกเลิกเกณฑ์ทหาร เปลี่ยนเป็นระบบสมัครใจ

5.รีดไขมันจากกองทัพ เอางบประมาณมาทำสวัสดิการประชาชน

และ โซเชียล ก็ได้ขุดคลิป บิ๊กตู่ พูดถึงกองทัพไทย โดยมีช่วงหนึ่งพูดเอาไว้ว่า หลายคนอาจจะมองว่ามันรบกันหรือเปล่า ไม่เห็นจะมีรบเลย มันพร้อมจะมีทุกอย่าง มันพร้อมที่จะมี วันนี้ไม่ค่อยเห็นสงคราม ก็เลยคิดว่าสงครามไม่น่าจะเกิดขึ้น แต่ผมบอกว่าในช่วงที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าจะไม่มีสงคราม แบบนั้นแบบที่ผ่านมา ขนาดใหญ่อะไรก็แล้วแต่ ผมอยู่ในระหว่างกลางตรงนั้นมาแล้ว ผมเห็นสถานการณ์ตรงนั้นมาแล้ว ในประเทศเพื่อนบ้านใช่ไหม ในชายแดนของเราใช่ไหม ในประเทศของเรารบกันเองก็มีหมดนะ

เพราะฉนั้นผมคิดว่า เราต้องให้ความสำคัญตรงนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดวันนี้ไม่ใช่ ไม่ได้มองกับประเทศไทยจะได้รบหรือไม่ได้รบ โน่นข้างนอกเขารบกันหรือเปล่าถูกไหม เหตุการณ์ในทะเลจีนใต้ว่าไง ใต้หวันอยู่ใกล้เราไหม เหล่าพวกนี้กำลังยังไง เป็นเป้าหมายของโลกทั้งสิ้น ในภูมิภาค ในการที่จะแบ่งข้างเลือกข้าง เราจะทำอย่างไรจะอยู่อย่างไร ถ้าเราไม่มีอะไรที่เข้มแข็งเพียงพอ ไม่มีศักยภาพเพียงพอ เราก็ป้องกันตัวเองไม่ได้ เลือกไม่ได้มากนักหรอก เพราะฉะนั้นเราต้องแข็งแรงตรงนี้ เรามีทหารที่เข้มแข็ง มียุทโทปกรณ์ที่แข็งแรง มีเทคโนโลยีที่เท่าทันกับเขา นั่นแหละจะไม่ต้องรบ